แบตมือถือมีอายุกี่ปี ควรเปลี่ยนตอนไหน ? ::

การเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่เรายกมาพิจารณา เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุดต่อการจ่ายเงิน ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต, ขนาด RAM/ROM, กล้องถ่ายภาพ, คุณภาพหน้าจอ รวมถึงฟีเจอร์ลูกเล่นอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทุกคนให้ความสำคัญก็คงไม่พ้น แบตเตอรี่ ทั้งความจุ ที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพว่าจะสามารถใช้งานติดต่อกันได้อย่างมากสุดกี่ชั่วโมง ไปจนถึงเทคโนโลยีการชาร์จ ที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการใช้ชีวิตทุกวันนี้

สำหรับตัวแบตเตอรี่เอง เมื่อมีการใช้งาน ชาร์จแบตไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งส่งผลแบตเตอรี่สูญเสียความสามารถด้านการเก็บประจุไฟฟ้า และทำให้เสื่อมสภาพในที่สุด จนทำให้ต้องเปลี่ยนแบตใหม่ในที่สุด หรือในบางเคสอาจไม่คุ้มค่าเปลี่ยน หรืออาจไม่มีอะไหล่แท้ ก็อาจต้องซื้อเครื่องใหม่กันเลย

ในวันนี้ทางทีมงานจึงมาสรุปประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับแบตเตอรี่บนมือถือกัน ว่าแท้จริงแล้ว หากพร้อมแล้วไปชมกันเลยค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับแบตเตอรี่มือถือ ในปัจจุบันจะเป็นแบตประเภท Lithium-ion (Li-Ion) กับ Lithium Polymer (Li-Poly) โดย จะมีความหนาแน่นของพลังงานสูง และมีราคาถูกกว่าแบบ Li-Poly โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จก่อนในครั้งแรก แต่อายุการใช้งานจะเริ่มนับตั้งแต่หลังการผลิต ไม่ใช่ตอนเปิดเครื่องครั้งแรก ซึ่งจะอยู่ในลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่านั้น

สำหรับแบตเตอรี่แบบ จะมีราคาสูงกว่า โดยเป็นการรวมอิเล็กโทรไลท์-โพลิเมอร์ ในรูปแบบแข็ง และแห้ง คล้ายกับฟิล์มพลาสติก และมีความบาง พร้อมความปลอดภัยที่มากขึ้น แต่จะมีความหนาแน่นของพลังงานน้อยกว่าแบบ Li-Ion

แบตมือถือทั้ง 2 ประเภทนี้เมื่อมีการใช้งาน สลับกับชาร์จไฟไปเรื่อยๆ ตัวแบตเตอรี่ก็จะค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าไปทีละนิด โดยอายุการใช้งานของแบตเตอรี่บนมือถือจะอยู่ที่การชาร์จ โดยการชาร์จจำนวนระหว่าง 400 - 900 ครั้ง ตัวแบตเตอรี่จะเหลือความสามารถในการเก็บประจุอยู่ที่ราว 80% (นับการชาร์จ 1 ครั้ง เมื่อชาร์จแบตเตอรี่ระดับต่ำกว่า 70%) และจะเหลือ 40% เมื่อทำการชาร์จไป 1,000 - 3,000 ครั้ง

ในอดีตที่มือถือจะมีแบตเตอรี่เฉลี่ยน 2500 mAh ก็จะทำให้ใช้งานได้ไม่นานพอ จึงอาจต้องชาร์จบ่อยกว่า 1 ครั้ง ใน 1 วัน ซึ่งในปัจจุบันมือถือมีแบตเตอรี่เฉลี่ยที่ราว 4000 mAh จึงสามารถใช้งานได้นานมากยิ่งขึ้น และลดจำนวนการชาร์จได้ ซึ่งหมายถึงยืดอายุของตัวแบตเตอรี่ไปด้วยนั่นเอง

โดยที่ผู้ใช้ก็ต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ อย่าง iPhone ก็จะสามารถตรวจสอบได้ที่เมนู Battery Health ด้านมือถือ Samsung เองก็สามารถตรวจสอบได้ที่แอปพลิเคชัน Samsung Members ที่เมนู Get Help และเลือกที่ Battery Status

เมื่อมือถือมีการใช้งาน นั่นเท่ากับอายุของแบตเตอรี่กำลังค่อยๆ ลดลง ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้

1.ตรวจสอบสุขภาพของแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับ 80 - 100% ผ่านเมนู Battery Health บน iPhone / แอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับมือถือ Android (หรือศูนย์บริการของแต่ละแบรนด์) สำหรับตัวเลขสุขภาพแบตเตอรี่หากต่ำกว่า 80% ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ในทันที แต่เป็นการเตือนให้ทราบว่าคุณภาพการชาร์จ และการใช้งานจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิม ซึ่งอาจต้องเตรียมตัวเพื่อเปลี่ยนในเร็วๆ นี้

2.ชาร์จแบตเต็มเร็วกว่าเดิม ให้ลองหมั่นสังเกตว่าแรกเริ่มใช้เวลาในการชาร์จที่เท่าใด และล่าสุดใช้เวลาแตกต่างกันหรือไม่ หากพบว่าใช้เวลาน้อยลงก็ถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่เก็บประจุได้น้อยลงนั่นเอง

3.แบตเตอรี่หมดเร็ว ถือเป็นการสังเกตที่ทำได้ง่ายที่สุด ตัวผู้ใช้เองจะต้องคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันองตนอยู่แล้ว ก็พอจะประมาณได้ว่าการชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% จะใช้งานได้นานกี่ชั่วโมง และหากสังเกตได้ว่าระยะเวลาลดลง นั่นก็หมายถึงสัญญาณแบตเตอรี่เสื่อม

4.เครื่องร้อนโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นหนึ่งในหลายอาการที่มักพบเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ โดยที่ผู้ใช้อาจจะใช้งานอยู่ หรือไม่ใช้งานอยู่ก็ได้ และจะมีอาการร้อนกว่าปกติ

5.เครื่องดับ / restart เอง เมื่อแบตเตอรี่มีกำลังไฟต่ำ หรือที่มีอายุการใช้งานมานาน ก็อาจทำให้เครื่องปิดเองได้ หรือในบางกรณีอาจ restart เครื่องเองก็มี ดังนั้นก็ต้องลองสังเกตร่วมกับอาการอื่นๆ ว่าเข้าข่ายแบตเตอรี่เสื่อมหรือไม่

ทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อมูลในเบื้องต้นที่น่าจะช่วยให้ทุกท่านปรับการใช้งานให้แบตเตอรี่อยู่กับเราไปได้นานที่สุด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ก็อาจจะกล่าวได้ว่าอายุแบตมือถือนั้นจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละท่าน หากใช้งานหนัก ชาร์จบ่อย ก็ทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมประสิทธิภาพได้เร็วนั่นเอง และหากต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ทางทีมงานขอแนะนำให้เปลี่ยนอะไหล่แท้กับช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น เพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาในอนาคตค่ะ

Write a Comment