5G คืออะไร?

ช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับ 5G ไม่ว่าจะจากทางด้านผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่หลายๆค่าย ต่างก็ประชาสัมพันธ์เตรียมความพร้อม และโชว์ความสามารถของ 5G บนคลื่นความถี่ 26.5 – 27.5 GHz รวมทั้ง การประกาศขายมือถือรองรับ 5G จากทางฝั่งของค่ายมือถือสารพัดแบรนด์ เราคงได้แต่คาดว่า 5G นั้นจะต้องดีกว่า 4G แน่ๆ เพราะมากกว่า 5 มากกว่า 4 เราน่าจะมาทำความรู้จักว่า 5G มันคืออะไร ดีอย่างไร และเกี่ยวอะไรกับเรา?

- ยุค 3G เราเชื่อมต่อและใช้งานอินเทอร์เน็ต เพื่อส่งข้อมูลผ่านมือถือได้ด้วยความเร็วระหว่าง 20kbps- 42.2Mbps

ยุค 5G (Generation 5) เรียกได้ว่าเป็น รุ่นที่ 5 ของการสื่อสารที่อนาคตจะไม่ใช่แค่โทรศัพท์มือถือแล้ว แต่จะรวมถึงอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมอินเตอร์เน็ตได้ (Internet of Things หรือ IoT) ซึ่งหากเราเข้าสู่ยุค 5G เราจะดาวน์โหลดวีดีโอ หนัง หรือแอปฯ ได้เร็วถึง 10,000 Mbps ถ้าใช้ 4G ดูวิดีโอออนไลน์ (ขนาด 8K) หรือดาวน์โหลดหนังต้องรอ 6 นาที แต่ถ้ามี 5G ใช้เวลาแค่ 6 วินาที! โอ้วววว.. เร็วมาก

• การตอบสนองไวกว่า ถ้าเราใช้ 4G สั่งงานควบคุมสิ่งต่างๆได้เร็วที่ 20 – 30 ms (Milli-second 1:1,000 วินาที) แต่ถ้าใช้ 5G การสั่งงานเพื่อควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมอินเตอร์เน็ตได้เร็วขึ้น 10 เท่า

• การรับส่งข้อมูลได้มากกว่า 4G โดย 4G จะรับส่งข้อมูลต่อเดือนได้แค่ 7.2 Exabytes แต่ 5G จะทำให้เรารับส่งข้อมูลได้เพิ่มขึ้น 7 เท่า คือ 50 Exabytes ต่อเดือน

• 5G มีความถี่สำหรับใช้งานมากกว่า เราจึงสามารถใช้งานคลื่นความถี่ได้ถึง 30GHz

• 5G รับรองจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ได้มากกว่า โดยที่ 4G สามารถรองรับผู้ใช้งานได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. แต่ 5G จะรองรับผู้ใช้งานได้ถึง 10 เท่า / 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม.

• ถ่ายโอนข้อมูลต่อวินาทีได้ปริมาณมากกว่า 4G โดย 4G นั้นโอนข้อมูลได้เพียง 1 GB ต่อวินาที แต่ 5G จะทำได้ถึง 20 GB ต่อวินาที หรือ 20 เท่าของ 4G

แน่นอนว่าในยุค 5G จะทำให้เราดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ เปิดเว็บไซต์บนมือถือได้เร็ว ไม่มีสะดุด แม้แต่วีดีโอที่มีความละเอียดสูงๆ แต่ประโยชน์ของ 5G มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เนื่องจากว่าในอนาคต โลกจะก้าวสู่เทคโนโลยี IoT จะได้เห็นการทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมอินเตอร์เน็ตที่ไม่ไช่เพียงแค่สมาร์ทโฟน อุปกรณ์ที่เชื่อมอินเตอร์เน็ตผ่าน 5G ก็จะส่งข้อมูลหากันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับ (Driverless Car) ที่ในอนาคตจะสามารถโต้ตอบกับรถอีกคัน และถนน (Smart Road) ผ่านเซนเซอร์ โดยมี 5G โอนข้อมูลระหว่างกัน

รวมถึง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เช่น การดูหนังหรือเล่นเกมผ่านอุปกรณ์ VR ถ้าใช้ 5G ก็จะได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าการเล่นผ่านสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน และที่สำคัญคือ AR ที่นำเอาภาพเสมือน 3 มิติจำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้อง และมีการประมวลผลโดยการทำให้วัตถุ 3 มิติ (ภาพเสมือน) ทับซ้อนเข้ากันกับภาพจริงเป็นภาพๆเดียว ซึ่งภาพหรือวีดีโอที่ว่าจะต้องดึงมาจาก Cloud ทำให้ 5G มีบทบาทมากในการดึงข้อมูลให้ปรากฏบนหน้าจอได้โดยไม่มีดีเลย์

สรุปได้ว่า ยุค 5G บ้านเราจะได้ดูวีดีโอ เล่นเกม ฟังเพลงได้ไม่มีสะดุด แต่ถ้าเป็นเรื่องของ IoT เราคงต้องรอดูกันอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าเกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน 5G ก็จะเกิดความคุ้มค่าอย่างแน่นอน

Write a Comment